Dec 22, 20212 min
เมืองเพชรบุรี เดิมเรียกว่า "พริบพรี" และจากหลักฐานในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่เจ็ด ปรากฏชื่อว่า ศรีชัยวัชรปุระ เป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ เคยเป็นอาณาจักรเล็กๆ อาณาจักรหนึ่ง บางสมัยมีผู้ครองนครหรือกษัตริย์มาปกครอง บางสมัยก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรที่เข้มแข็งกว่า
เพชรบุรีมีชุมชนตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน ในช่วงยุคหินใหม่ การติดต่อค้าขายกันกับชุมชนอื่นๆ คงเป็นปัจจัยให้ชุมชนเพชรบุรีเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อชาวตะวันตกกับชาวตะวันออกเริ่มติดต่อกันทั้งทางด้านสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจแบบข้ามภูมิภาค จากการมีเส้นทางคมนาคมลัดคาบสมุทรทางบกในบริเวณใกล้เคียง คือ เส้นทางจากเมืองมะริดมีเส้นทางแม่น้ำตะนาวศรีมาออกอ่าวไทยที่อำเภอทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเส้นทางเดินเรือน้ำลึกข้ามตัดอ่าวไทยได้ ทำให้ผู้คนพากันมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น และได้รับอิทธิพลทางคติความเชื่อในพุทธศาสนา และวัฒนธรรมของทวาราวดีขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 11-16 ก็ทำให้มีชุมชนโบราณบ้านเศรษฐีและเจดีย์ทุ่งเศรษฐี เป็นต้น
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 เมื่อวัฒนธรรมเมืองขอมหรือเขมรโบราณเสื่อมอำนาจลงและรัฐต่างๆ ในดินแดนไทยมีอำนาจมากขึ้น โดยเมื่อล่วงเข้าสมัยอยุธยา เพชรบุรีก็ทวีความสำคัญมากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจจากการเป็นเมืองท่าสำคัญที่ส่งข้าว ผ้าฝ้าย อาหารทะเล และเกลือเป็นสินค้า ครั้นเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ถึงแม้ความสำคัญของเพชรบุรีจะลดลง แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเสด็จมายังเมืองเพชรบุรีหลายครั้ง ทั้งเมื่อครั้งยังทรงผนวชและเมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้วก็ทรงโปรดเกล้าให้สร้าง พระนครคีรี ขึ้นบนยอดเขามหาสวรรค์ในปี พ.ศ. 2402 เพื่อใช้เป็นพระราชนิเวศน์สำหรับประทับพักผ่อนในฤดูร้อน และยังเคยโปรดเกล้าให้มีการจัดพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกเธอพระองค์หนึ่งที่พระนครคีรีด้วย
ดูโปรแกรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ จากลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ 👇
ครั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยังโปรดที่จะแปรพระราชฐานมาประทับแรมยังเมืองเพชรบุรี และพระองค์ท่านยังโปรดให้ซ่อมแซมพระราชวังพระนครคีรีเพื่อใช้รับรองแขกเมือง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างพระราชวัง “บ้านปืน” อีกแห่งด้วย
ตั้งอยู่ที่บ้านปืน อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็นพระราชวังที่มีความงดงามสวยแปลกตาตามแบบยุโรป พระตำหนักใช้ลักษณะผสมผสานสถาปัตยกรรม แบบบาโรค (Baroque) และ อารต์นูโว (Art Nouveau) เข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยมีนายช่างชาวเยอรมันนามว่า คาร์ล เดอห์ริง (Karl Döhring) เป็นผู้คิดเขียนแบบรูปพระตำหนักตามกระแสพระราชดำริ และมี ดร. ควดไบเยอร์ ชาวเยอรมันอีกเช่นกัน เป็นนายช่างก่อสร้าง โดยพระราชประสงค์ให้สร้างพระราชวังแบบยุโรป เพื่อใช้สำหรับแปรพระราชฐานในฤดูฝน ความงดงามของสถาปัตยกรรมยุโรปสุดคลาสสิกที่มีอายุกว่า 100 ปี แต่ยังคงความงดงามไว้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจไม่เปลี่ยนแปลง
แม้พระราชวังบ้านปืนแห่งนี้จะมีอายุกว่า 100 ปีแล้วก็ตาม แต่ยังคงความคลาสสิคและงดงามตามแบบฉบับของสถาปัตยกรรมยุโรปไว้เช่นเดิม โดยตัวพระตำหนักเน้นความความทันสมัย ตัวอาคารเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมสวนหย่อมและสระน้ำพุ ที่ตั้งไว้ตรงกลาง ส่วนที่ประทับเป็นตึกสองชั้นขนาดใหญ่ หลังคารูปทรงโดมสูง ภายในมีบันไดโค้งขึ้นสู่ชั้น 2 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของพระตำหนักแห่งนี้ นอกเหนือจากนี้ยังรวบรวมสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ไว้ให้ได้ชมอีกหลายอย่าง กล่าวคือ ไม่เน้นลายรูปปั้นที่วิจิตรพิสดารมากมายเหมือนอาคารที่ถูกสร้างในสมัยเดียวกัน หากแต่มา เน้นในเรื่องของความสูงของหน้าต่างที่สามารถมองเห็นได้ ทั้งจากภายในและด้านนอกของอาคารได้อย่างชัดเจน อีกทั้งความสูงและกว้างใหญ่ของเพดาน เพื่อให้พระตำหนักมีความโล่งโปร่งตา สง่างาม ตระการตา พำนักได้อย่างสบายและคลาสสิค แบบไม่ต้องมีลวดลายหรือสีสันมากมายแต่อย่างใดเลย
แผนผังของตัวอาคารสร้างเป็น สี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมสวนหย่อม มีสระน้ำพุตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนที่ประทับเป็นตึกสองชั้นขนาดใหญ่ หลังคาทรงสูงรูปโดม ภายในเป็นโถงสูงมีบันไดเวียนคู่ขึ้นสู่ชั้นสองซึ่งจัดเป็นจุดเด่นของพระตำหนัก เป็นศิลปะแบบบาโรค โดยลักษณะวนหากันเป็นรูปดอกจิก ราวบันไดประดับประดาด้วยด้วยรูปปั้นตุ๊กตาถือผลไม้บ้าง ถือพวงมาลัยบ้าง ตามแบบศิลปะแบบโมเดิร์นสมัยใหม่ โดยเชื่อมต่อจากห้องโถงชั้นล่าง ที่นายช่างชาวเยอรมัน คาล ดอห์ริง ได้ออกแบบไว้ได้อย่างกลมกลืนลงตัวอย่างยิ่ง เพิ่มควาฒโดดเด่นด้วยต้นเสาสีเขียวเข้ม และพื้นหินอ่อนกลางห้องคล้ายเกล็ดปลา เมื่อมองจากชั้นบนจะเห็นภาพได้ชัดเจนและสวยงามมาก บริเวณชั้นสองมีมีระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้อย่างชัดเจนเป็นมุมที่ดูผ่อนคลายได้ดีทีเดียว
การตกแต่งของพระราชวังบ้านปืนนี้ เน้นการตกแต่งที่เรียบง่ายหากแต่คลาสสิคทั้ง ชั้นล่างและชั้นบน โดยเปิดให้เข้าชมทั้งสองชั้น ซึ่งมีทั้งห้องพระโรงกลาง ห้องเครื่อง ห้องเสวย หรือเทียบเครื่อง ห้องรอเข้าเฝ้า นอกเหนือจากบันไดเวียนที่สวยคลาสสิคแล้ว ห้องที่แอดมินชอบเป็นพิเศษ ก็น่าจะเป็นห้องเสวย ที่รวบรวมเอาศิลปะแบบโมเดิร์นของเยอรมัน และอาร์ตนูโวของฝรั่งเศสเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ประดับผนังด้วยแผ่นกระเบื้องเคลือบสีเหลืองสด ตัดกรอบด้วยกระเบื้องสีเขียวเป็นช่องตามแนวตั้ง กระเบื้องประดับผนังประดับด้วยลวดลายนูนรูปสัตว์และพันธ์พืชต่างๆ สอดแทรกเข้ากันเป็นระยะ บริเวณด้านหน้าของห้องประดับรูปปั้นเทพเจ้าโพไซดอน ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นเทพแห่งท้องทะเลอันศักดิ์สิทธิ์
ถัดมาอีกห้องที่ชื่นชอบ ห้องบรรทมพระราชินี ที่มีชั้นต่างระดับให้ประทับยืนมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของพระนครคีรีได้อย่างชัดเจน และห้องที่สวยที่สุดคงหนีไม่พ้น ห้องบรรทมพระเจ้าอยู่หัว เป็นห้องที่มองเห็นทัศนียภาพของพระนครคีรีได้ชัดเจน ภายในห้องสร้างด้วยเสาที่ทำจากแผ่นทองแดงดุนลายกรุ ปัจจุบันห้องนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ไว้ให้ประชาชนสักการะบูชา
และสุดท้ายห้องที่บางท่านอาจไม่สนใจ แต่แอดมินกลับชื่นชอบเช่นกัน เพราะมีลักษณะเด่น คือ มีตู้ฝังกับผนังห้องมีกระจกหน้าต่างเป็นกระจกสแตนกลาส นั่นคือ ห้องทรงพระอักษร และอีกห้องคือ ห้องสรง ที่ไม่ธรรมดา หากแต่รวบรวมศิลปะร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกัน มีการประดับกระจกสแตนกลาสที่สวยที่สุดของพระราชวัง นอกเหนือจากการตกแต่งติดตั้งสุขภัณฑ์ที่ไว้
บริเวณลานด้านหน้าพะราชวังบ้านปืน เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมราชานุสาวรีย์พระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 ซึ่งคงเป็นภาพที่คุ้นตากันดีกับหลายๆ คน เพราะเป็นภาพที่เห็นกันตามนิตยสาร หรือ เพจต่างๆ ว่าที่นี่คือ พระราชวังบ้านปืน หรือ พระรามราชนิเวศน์นั่นเอง และ โดยรอบลานพระที่นั่ง มีปืนใหญ่หล่อด้วยสำริดตั้งอยู่โดยรอบหันหน้าทั้งสี่ทิศ มีชื่อดังนี้คือ รามสูรคว่างขวาน ยมบาลจับสัตว์ ลอยชายเข้าวัง และ กำลังเพชรหึง บริเวณรอบๆ มีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขามีม้านั่งให้พักผ่อนเก็บถาพเป็นที่ระลึกหลังชมพระราชวัง หรือ สักการะพระบรมรูปของในหลวงรัชกาลที่ 5 แล้ว ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างดีทีเดียว ปัจจุบันอยู่ในเขตการดูแลของมณฑลทหารบกที่ 15 ซึ่งเป็นบริเวณค่ายรามราชนิเวศน์
พระอารามหลวง เดิมมีชื่อว่า “วัดน้อยปักษ์ใต้” แต่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “วัดใหญ่” เป็นวัดเก่าแก่มากของ จ.เพชรบุรี และทรงคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมที่แสดงถึงร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองที่เป็นเมืองสำคัญมาหลายยุคสมัย เนื่องด้วยที่นี่เป็นแหล่งรวมงานช่างฝีมือเมืองเพชรที่ปราณีตอ่อนช้อยและงดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี อ้างจากหลักฐานตามพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงไว้ว่า “ภาพและลายในพระอุโบสถนี้คงเขียนมาก่อน 300 ปีขึ้นไป”
ในส่วนของชื่อ วัดใหญ่ นั้นสันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากพื้นที่ที่กว้างใหญ่ของวัดที่มากกว่า 20 ไร่ และคำว่า สุวรรณ คาดว่าน่าจะได้มาจากพระนามของพระสังฆราช (แตงโม) ซึ่งเดิมท่านมีนามว่า ทอง เพราะท่านได้ปฏิสังขรณ์ครั้งสำคัญแก่วัดแห่งนี้ที่เป็นสถานศึกษาของท่าน จึงเป็นที่มาของชื่อ วัดใหญ่สุวรรณาราม นับแต่นั้นมา
วัดใหญ่ได้รับการปฏิสังขรณ์อยู่หลายครั้ง จนในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ได้มีการสร้างเสนาสนะอีกหลายอย่าง อาทิเช่น หอสวดมนต์ ระเบียงคตรองพระอุโบสถ หอระฆัง ศาลาคู่ กำแพงรอบวัดพร้อมซุ่มประตู ที่ยังมีถึงปัจจุบัน
แต่สิ่งที่แอดมินชื่นชอบหลงใหลเป็นอย่างยิ่งทุกครั้งที่มาเยือนวัดใหญ่ คงจะเป็น รูปแบบของสถาปัตยกรรมการก่อสร้าง งานจิตรกรรมฝาผนัง และประติมากรรมที่รวบรวมช่างฝีมือไว้หลายสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝีมือช่างเมืองเพชรสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ปราณีตและเลื่องชื่อยิ่งนักที่เห็นได้ในพระอุโบสถและศาลาการเปรียญ
“พระอุโบสถ” ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมทรงไทยสมัยอยุธยา ก่ออิฐ ถือปูน มีหน้าบันประดับกระจกสี ประกอบลวดลายปูนปั้นสวยงามมาก ด้านหน้ามีช่องประตู 3 บาน มีภาพเขียนทวารบาลที่อ่อนช้อยงดงาม ผนังด้านข้างก่อทึบไม่มีช่องหน้าต่าง ตัวพระอุโบสถยกพื้นสูงเป็นฐาน 2 ชั้น ฐานอาคารภายนอกยกมุมฐานให้งอนขึ้นแบบฐานทรงสำเภา ผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพเทพชุมนุม 5 ชั้น ที่มีความงดงามและทรงคุณค่าทางศิลปะที่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่ พระพรหม ยักษ์ ครุฑ ฤาษี และเทวดา ไม่ซ้ำแบบกัน คั่นกลางองค์เทพด้วยลายดอกไม้ ด้านหน้าและด้านหลังผนังหุ้มกลองของพระอุโบสถมีบานประตูด้านละ 2 ช่อง โดยด้านหน้าเจาะช่องหน้าต่างไว้อยู่ระหว่างกึ่งกลางของบานประตูทั้งสองข้าง แต่มีขนาดใหญ่กว่าบานประตู หน้าบันด้านหลังซึ่งอยู่ใกล้กับศาลาการเปรียญปั้นเป็นรูปพระนารายณ์เหยียบอสูร ประกอบด้วยลายช่อพุ่มหางโต แตกช่ออ่อนพลิ้วสวยงามมาก ส่วนด้านหลังของบานประตูและหน้าต่าง มีภาพเขียนทวารบาลรูปทรงสวยงามมาก
พระอุโบสถมี พระระเบียงคดล้อมรอบ ทั้งหมด 8 หลัง หลังคาเป็นจตุรมุขล้อมรอบพระอุโบสถและหน้าบันทุกด้านประดับลายเครือเถามีเลข (๕) วางพลาดเหนือพระขรรค์ อยู่ใต้พระมหาพิชัยมุงกุฎ เบื้องบนเป็นแฉกรัศมี อันหมายถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้และทรงโปรดปราณวัดใหญ่ จนมีพระราชโองการประกาศวัดใหญ่สุวรรณารามเป็นพระอารามหลวง ตั้งแต่ ร.ศ.128 (พ.ศ.2452) และหากท่านมีเวลาลองเดินดูระเบียงคดรอบๆ ก็จะเห็นหน้าบันด้านหนึ่งที่แปลกออกไป ประดับด้วยเลขห้าแบบกลับด้าน
ภายในพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางมารวิชัย ลงรักปิดทองสมัยอยุธยา อีกองค์หนึ่งเป็นพระคันธารราษฎร์ สมัยอยุธยานั่งขัดสมาธิเพชรและมีรูปสมเด็จพระสังฆราช (แตงโม) ทางด้านซ้าย ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นประติมากรรมรูปคนเหมือนจริงชิ้นแรกของไทย ส่วนด้านขวาคือ อดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่สุวรรณาราม รูปหล่อพระครูมหาวิหาราภิรักษ์ (พุก) ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของพระประษนปางมารวิชัยคือ ที่พระบาทเบื้องขวาท่านมี 6 นิ้ว
ใกล้กับพระอุโบสถ เป็นที่ตั้งของ “หอไตรกลางน้ำ” ซึ่งเป็นหลังเก่าเดิมตั้งอยู่กลางสระน้ำ เป็นรูปทรงแบบเรือนไทยโบราณ ชั้นเดียว มี 2 ห้อง และ มี 3 เสา เดิมเป็นเสาไม้ แต่กาลเวลาผ่านไปทำให้ผุพังลง ปัจจุบันที่เห็นเป็นเสาปูนคือที่ทำขึ้นใหม่เพื่อความคงทนมากขึ้น เสา 3 ต้น นั้น มีความหมายที่มีนัยยะอันหมายถึง พระอภิธรรม พระวินัย และพระสูตร ซึ่งรวมเรียกว่า พระไตรปิฏก เชื่อมต่อทางเดินจากขอบสระไปสู่หอไตรกลางน้ำด้วยสะพาน เป็นหอไตรหลังเก่าตั้งอยู่กลางสระน้ำ
อีกส่วนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ศาลาการเปรียญ มีขนาด 10 ห้อง มีความกว้าง 5 วา ยาว 15 วา เป็นเรือนไม้สักทั้งหลัง หลังคาแบบมุขประเจิด มุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย ประดับช่อฟ้าใบระกาติดกระจก ตามตำนานกล่าวว่าสมเด็จพระเจ้าเสือ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้พระราชทานแด่สมเด็จพระสังฆราช (แตงโม) พระอาจารย์ของพระองค์และพระองค์มีพระศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง งานศิลปกรรมที่น่าชม อาทิ หน้าบัน เป็นลายกนกช่อหางโต ที่มุขประเจิดประดับด้วยสาหร่ายรวงผึ่งหัวนาค แสดงถึงบารมีของผู้สร้าง ทวย ทำจากไม้ทั้งแผ่น จำหลักลายงดงามเรียกว่า ทวยหน้าตั๊กแตนและบานประตูขนาดใหญ่ด้านหน้าทิศตะวันออกที่ถือว่าเป็นประตูประวัติศาสตร์ที่สวยงามยิ่งนัก จำหลักลายก้านขดหางโต สอดแทรกด้วยลายพรรณพฤกษา บานหนึ่งมีรอยแตก ซึ่งเล่าขานกันว่าทหารพม่าฟันด้วยขวานจนเนื้อไม้ขาดหายไป แต่ก็มีนักวิชาการให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นการทำลายประตูตั้งแต่ครั้งรื้อตำหนักถวายสมเด็จกระสังฆราช (แตงโม) มากกว่า
ด้านในของศาลาการเปรียญมีเสาแปดเหลี่ยมเขียนลายรดน้ำฝาผนังและบนบานหน้าต่างก็มีภาพเขียนลายน้ำกาว ที่ยังสามารถมองเห็นได้จนถึงปัจจุบัน มีธรรมาสน์ฝีมืองดงามอยู่ 2 หลัง หลังเก่ามีมาพร้อมกับศาลาการเปรียญ ลักษณะเป็นไม้จำหลักทรงบุษบก อีกหลังได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ ลงรักปิดทองใหม่ และถูกอัญเชิญไปเข้าประกอบพิธี ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ด้วย
พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เคยพระกระแสรับสั่งไว้ว่า หากจะดูการช่างฝีมือช่างเมืองเพชร ต้องมาดูที่วัดใหญ่สุวรรณาราม แห่งนี้ ด้วยการเข้าไม้ ต่อไม้ทำได้แนบสนิทสุดยอด และนี่คือ จุดสำคัญของงานศิลปะช่างฝีมือเมืองเพชรที่วัดใหญ่ฯ ให้สังเกตการณ์ศิลปะของการเข้าไม้ ไม่มีอะไรบัง ไม่มีฝ้าเพดาน ทำเป็นหลังคาสูง ไม่ร้อน เป็นเอกลักษณ์ของบ้านไทยทรงโบราณด้วยภูมิปัญญาของชาวบ้าน เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ต้องถือหลักการปลูกสร้างบ้านไม่ขวางตะวันรับแสงแดดร้อน เรื่องอย่างนี้ก็ต้องมีการถอดรหัสด้วย
ที่นี่ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ละครหลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล (ท่านมุ้ย) ได้เคยพูดว่า ตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์สมเด็จพระศรีสุริโยไท ก็มาตั้งกองถ่ายทำงานที่นี่เป็นเวลา 6 เดือน ถ่ายทำทั้งภายในพระอุโบสถ บนศาลาการเปรียญแห่งนี้ และบริเวณรอบวัดใหญ่ฯ บริเวณสระน้ำทุกที่ในบริเวณวัด จากการเดินทางเรือเสมือนว่ามีแม่น้ำลำคลองไหลผ่านวัดแท้จริงแล้วเป็นสระที่อยู่ด้านข้างพระอุโบสถ เพราะมีความเป็นกรุงศรีอยุธยาอยู่มากอย่างเห็นได้ชัด ต่อมาที่วัดแห่งนี้จึงเป็นที่นิยมใช้ถ่ายทำทั้งละครโทรทัศน์และภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เรื่องล่าสุดภาพยนตร์ไทยเรื่องขรัวโต อมตะเถระกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นภาพยนตร์ซีรีส์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ก็ถ่ายทำที่เตียงมรณภาพด้วย
และสุดท้ายที่ห้ามพลาดเช่นกัน คือ “ถาน” หรือ “เวจกุฎี” ที่หาชมได้ยากแล้ว เป็นส้วมของพระสงฆ์ในสมัยก่อน วัดใหญ่สุวรรณารามได้อนุรักษ์ไว้ 2 หลัง ถานในสมัยโบราณ เป็นโรงเรือนที่แยกออกไปต่างหาก ส่วนใหญ่จะอยู่ท้ายวัดจะได้ไม่ส่งกลิ่นเหม็นมารบกวน ลักษณะเป็นโรงเรือนใต้ถุนสูง ด้านบนมีฝาปิดมิดชิด มีช่องระบายอากาศและช่องแสง มีประตูเปิดปิด
อ่านมาถึงตรงนี้ แอดมินก็ยังจะยืนยันอีกครั้งว่า การเข้ามาในวัดใหญ่สุวรรณาราม มิได้เพียงแค่ความร่มเย็น หากแต่เพลิดเพลินจำเริญใจไปกับงานศิลปะทุกแขนงอย่างแท้จริง ทั้ง งานสถาปัตยกรรม จิตรกรรม และประติมากรรมของช่างฝีมือในสมัยก่อน ที่โดดเด่น ทรงคุณค่า และเอกลักษณ์ที่คนรุ่นหลังอย่างเราท่าน พึงควรสืบสานต่อไปเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือ เช็คลิสต์ ที่ต้องชมที่วัดใหญ่สุวรรณาราม หากเดินทางมาชื่นชมกันค่ะ
ลายแกะสลักประตูศาลาและรอยขวานพม่าฟันเมื่อปี 2308
ภาพแลลายในศาลาการเปรียญ (ท้องพระโรงสมัยอยุธยา)
ธรรมาสน์ทรงบุษบกสมัยอยุธยา
หอไตร 3 เสากลางน้ำ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ
รูปสมเด็จพระสังฆราชแตงโม และพระพุทธรูป 6 นิ้วในพระอุโบสถ
ฝากุฏิ 6 แบบ บ่งบอกเอกลักษณ์ของเรือนไทยสมัยโบราณ
พระเชียงแสน พระคันธารราฐ (อนุญาตให้ปิดทองได้เฉพาะช่วงงานประเพณีสงกรานต์)
เว็จกุฏิหรือส้วมโบราณด้านหลังกุฏิสงฆ์
ดูโปรแกรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ จากลิงค์ด้านล่างได้เลยค่ะ 👇
เตรียมพบกับรายการนั่วรถไฟเที่ยวฉะเชิงเทรา 1 วัน ในเร็วๆนี้
อย่าลืม "กดแอดไลน์" เพื่อรับโปรโมชั่นรายการพิเศษก่อนใคร!