เมืองแห่งความอุดมสมบูรณ์ของท้องมังกร เฮงๆ ปังๆ รับโชค รับทรัพย์ ความสุขสวัสดี ปีขาล พ.ศ.2565 ที่จะถึงนี้
ใกล้ปีใหม่แล้ว หลายท่านคงมองหาสถานที่ไหว้พระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ออมบุญรับโชครับทรัพย์ ความสุขสวัสดีกับปีขาล 2565 ที่กำลังจะมาถึง พร้อมกับร่วมกันส่งโควิด ก่อนไปเที่ยวพักผ่อนกันต่อกับครอบครัวเพื่อนพ้อง
วันนี้ #GetawayHolidays ขอนำเสนอ วัดเด่น วัดดัง วัดที่ไปแล้ว ปัง! ทั้งโชคลาภเงินทอง ความรัก ความสุขสวัสดี กับ 5 วัดเด่น วัดดัง วัดดี ห้ามพลาด ของเมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทราเมืองแห่งความอุดมสมบรูณ์ของท้องมังกร ที่แอดมินไปกันมาแล้วก็ชอบทุกวัด ปังทุกที่ นำมาเสนอเพื่อนๆ ท่านสมาชิกกันครับ เผื่อจะมีท่านใดสนใจตามรอยแอดมินไปรับความปัง รับความดัง รับความรวยดั่งท้องมังกร รับปีใหม่กันครับ เอาล่ะ มาดูกันครับมีที่ไหนกันบ้าง
ไหว้พระ 5 วัดดัง เมืองแปดริ้ว มีที่ไหนบ้างนะ?
1. วัดโสธรวรารามวรวิหาร
คงต้องบอกว่าที่นี่ คือ "แลนด์มาร์ก" สำคัญของฉะเชิงเทราก็ว่าได้ เพราะเมื่อเราเอ่ยถึงจังหวัดนี้ ก็จะเป็น วัดแรก หรือ สิ่งแรกๆ ที่ผุดขึ้นมาในความคิดของใครหลายต่อหลายคน เมื่อเราพูดถึง “ฉะเชิงเทรา" แอดมินก็เช่นกันครับ พระพุทธ หรือ "หลวงพ่อโสธร" เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญองค์หนึ่ง เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์อย่างกว้างขวางสำหรับชาวแปดริ้ว และชาวไทยจากทั่วประเทศ ท่านเป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุขและสิริมงคลแก่ชีวิต
เดิมทีวัดนี้ชื่อว่า “วัดหงส์” แต่พายุได้พัดเอาหงส์ที่ตั้งอยู่บนยอดเสาหักลงมา ชาวบ้านจึงตั้งเปลี่ยนเสาหงส์เป็นเสาธงแทน แล้วเรียกว่า “วัดเสาธง” นับตั้งแต่นั้น ต่อมาพายุเกิดพัดเสาธงหักทอนลงอีก ชาวบ้านจึงเรียกว่า “วัดเสาธงทอน” ซึ่งคาดกันว่าน่าจะเป็นที่มาของ “วัดโสธร” ในปัจจุบัน และได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงและได้ใช้ชื่อว่า “วัดโสธรวรารามวรวิหาร”
ในปัจจุบัน พระอุโบสถหลังเดิมที่ประดิษฐานหลวงพ่อโสธรได้ทรุดโทรมลง อีกทั้งมีความคับแคบกับจำนวนคนที่มาสักการะท่าน ทางวัดจึงได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ที่มีความวิจิตรอลังการขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชพิธียกยอดฉัตรในปี พ.ศ. 2539
ไฮไลท์ที่น่าสนใจประจำวัด
เมื่อมาถึงวัดแล้ว ทุกท่านจะต้องมากราบสักการะขอพร เพื่อเป็นสิริมงคล กับ “หลวงพ่อโสธร” ซึ่งเชื่อว่า การได้มาสักการะ จะนำมาแต่ความสุข ความเจริญ เป็นสวัสดิมงคลในชีวิต คนจึงมาขอพรกันสารพัดเรื่อง โดยเฉพาะ ในหมู่คนมีบุตรยากที่เดินทางมาพร้อมกับความหวัง เพื่อมีคนจำนวนมากที่มาขอพรหลวงพ่อแล้วมักจะได้ลูกชาย และเมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้ว จะนิยมนำของมาถวายหลวงพ่อโสธรด้วย เช่น ละครชาตรี ที่มีคณะละครประจำอยู่ที่วัดเพื่อความสะดวก ไข่ต้ม ผลไม้ และพวงมาลัยดอกไม้สด เมื่อสมหวังดังใจอธิษฐาน
แต่เดี๋ยวก่อนครับ!...ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่า ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องที่เราจะขอพรจากหลวงพ่อ มีตำนานเล่ากันว่า ข้อห้ามในการบนบาน หรือ อธิฐานขอพรจากหลวงพ่อโสธร คือ การขอให้ได้ใบดำ เพื่อไม่ต้องไปเป็นทหาร เมื่ออายุของชายครบ 21 ปี เพราะองค์หลวงพ่อท่านชอบให้ผู้ชายไปเป็นทหารปกป้องบ้านเมืองรักษาชาติ สำหรับท่านใดที่ประสงค์ไปขอพรหลวงพ่อโสธร แอดมินนำคาถาบูชาหลวงพ่อมาฝากกันดังนี้
(ท่องนะโม 3 จบ) กายานะ วาจายะวะ วาโสธะรัง นามะ อิติปาริหะ ริยะการัง พุทธธะรูปัง อะหังปิ วัณทามิ สัพพะโส
และที่นี่ยังเป็น เส้นทางออมบุญเพื่อความรักที่ยั่งยืนอีกด้วย
สำหรับองค์หลวงพ่อนั้น จากตำนานได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพระพุทธรูปสัมฤทธิ์สามองค์ ได้ลอยน้ำมาจากทางเหนือ โดยองค์หนึ่งได้ไปผุดขึ้นที่วัดบ้านแหลม สมุทรสงคราม และอีกองค์หนึ่งไปผุดขึ้นที่วัดบางพลีใหญ่ใน สมุทรปราการ สำหรับองค์หลวงพ่อโสธรนั้นได้มาผุดบริเวณวัดปัจจุบัน ชาวแปดริ้วจึงได้ทำพิธีอัญเชิญขึ้นจากแม่น้ำได้สำเร็จ และประดิษฐานในพระวิหารคู่วัดแห่งนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2313 เป็นต้นมา
และอย่าลืมเยี่ยมชม ภายใน พระอุโบสถ หลังใหม่ ที่มีความวิจิตรตระการตาทั้งภายนอกและภายในที่มีการประดับตกแต่งด้วยด้วยภาพจิตiกรรมฝาผนัง ตั้งแต่พื้นอุโบสถจนถึงเสา ผนัง โดยที่เพดานด้านบน จะทำเป็นแดนแห่งทิพย์เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ดาวดึง พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและเที่ยวชม ภายนอกก็งดงามไม่แพ้กัน ยิ่งยามเช้า หรือ ยามเย็น มีแสงสวยๆ ทอดมา ทำให้ถ่ายภาพได้งดงามน่าประทับใจไม่ไกลกันมีศาลาท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง ลมพัดเอื่อยสบายใจด้านหลังของวัดที่เป็นจุดที่พบเจอพระพุทธรูปลอยน้ำนั่นเองครับ
วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ต.หน้าเมือง อำเภอเมือง จ.ฉะเชิงเทรา เวลาทำการ 07.00 น. – 17.00 น.
2. วัดเทพนิมิตร
วัดเล็กๆ ที่อยู่ในซอยเล็กๆ ของเมืองแปดริ้ว ตรงข้ามตลาดบ้านใหม่ร้อยปี ซึ่งหากไม่สังเกต หลายคนคงมองผ่านไป อีกทั้งไม่คุ้นชื่อสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นสักเท่าไหร่ แต่กลับมีความน่าสนใจและความสำคัญแอบแฝงตัวอยู่ในอาณาบริเวณวัดแห่งนี้
ท่านใดที่แวะไปเที่ยว ชุมชนตลาดบ้านใหม่ 100 ปี ห้ามพลาดแวะมาเยี่ยมชมวัดนี้นะครับ เพียงข้ามถนนและเดินเข้าซอยที่เยื้องกับทางเข้าตลาดนิดเดียว หรือใครจะขับรถไป สามารถนำเข้าไปภายในวัดที่จัดสรรที่จอดไว้อย่างดีร่มรื่น
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กล่าวว่าวัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 วัดเทพนิมิตร เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2411 โดยท่านพระครูศิริปัญญามุนี (อ่อน เทวนิโก) ที่มาจาก วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ท่านได้ธุดงค์ผ่านมา ญาติโยมเกิดความศรัทธา จึงได้ลงขันกันซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดิน พร้อมยกเหย้าเรือนถวายเพื่อสร้างวัด ท่านอ่อน เทวนิโภ จึงได้ลงมือสร้างกุฎิสงฆ์เป็นที่พัก ปลูกเป็นหมู่กุฎิล้อมหอฉัน มีที่สวดมนต์อยู่ตรงกลางปลูกตามแนวริมคลองบ้านใหม่ ต่อมาสร้างศาลาการเปรียญ 1 หลัง กว้าง 5 วา ยาว 7 วา 2 ศอก มุงด้วยกระเบื้องมอญมีศาลาเล็กด้านหน้า 2 หลัง แต่ศาลาเล็ก กว้าง 3 วา 3 ศอก ยาว 7 วา ส่วนมากใช้ไม้สักมุงกระเบื้องมอญ สร้างแล้วเสร็จราว พ.ศ. 2421–2422 ตั้งชื่อวัดว่า "วัดเทพนิมิตร" มีพระท้วมปกครองวัด ชื่อของวัดมาจากการก่อสร้างเสร็จโดยเร็วเปรียบประหนึ่งว่า มีเทวดามาช่วยสร้างให้ วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2479
สำหรับท่านที่สนใจยังสามารถนั่งเรือจ้าง มาจากตลาดบ้านใหม่ใกล้ๆ กันได้ ท่าน้ำมีความร่มรื่นด้วยต้นจาก ลมพัดเอื่อยๆ นั่งเล่นได้สบาย หลังการสักการะสิ่งศักดิ์ของวัด ภายในวัดมีจุดที่น่าสนใจหลายจุดด้วยกัน เช่น ภายในโบสถ์มีพระนอนกระจก และ หลวงพ่อโต พระประธานศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด อายุร้อยกว่าปี ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้
ไฮไลท์ที่น่าสนใจประจำวัด
องค์หลวงพ่อโต พระประธานประจำวัด อายุเก่าแก่ ปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ หลวงพ่อโต ภายในพระอุโบสถ ได้มาจากวัดแห่งหนึ่งทางจังหวัดราชบุรี เนื้อทองสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง ปางสมาธิ สังฆาฏิ จีวร ลายดอกพิกุล ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมที่สวยงามโดยรอบ และที่สำคัญมากคือ ที่วัดยังได้รับพระราชทานพระรูปหล่อรัชกาลที่ 8 รูปหนึ่ง เป็นทองแดงลักษณะกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 44 ซม. เมื่อ พ.ศ. 2480 ซึ่งปัจจุบันพระบรมรูปหล่อนี้ประดิษฐานไว้ด้านหน้าอุโบสถภายใน เดินมาด้านหลังพระอุโบสถ มีต้นโพธิ์จากอินเดย และศรีลังกา และต้นไม้อื่นปลูกไว้ร่มเย็น มีพระศิลาสยามมณฑล ประดิษฐาน แกะสลักจากหินศิลาทั้งองค์ จากจากจังหวัดสระบุรี พุทธลักษณ์งดงามอ่อนช้อยยิ่งนัก ให้ความรู้สึกเสมือนเราเดินอยู่ในประเทศอินเดียทีเดียว
วิหารริมน้ำ ประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระนอนกระจก สร้างโดยท่านพระครูศิริปัญญามุนี มีพุทธลักษณะบรรทมตะแคงเบื้องขวาหลับพระเนตร พระหัตถ์ขวาชันพระเศียรตั้งขึ้น พระหัตถ์ซ้ายทอดทาบไปตามพระวรกาย พระบาทซ้ายทับซ้อนพระบาทขวา ประชาชนโดยทั่วไป นิยมไปกราบไหว้บูชา พระนอนกระจก วัดเทพนิมิตร เพราะมีความเชื่อ ความศรัทธาว่า เมื่อได้กราบไหว้บูชา พระนอนปางไสยาสน์ องค์นี้แล้วเชื่อกันว่า จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขในชีวิต
พระนอนกระจก วัดเทพนิมิตร สร้างขึ้นในราว ปี พ.ศ. 2419 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ใกล้กัน ยังมีพระสังกัจจายน์ ด้านโชคลาภ ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ สติปัญญา และความมีเสน่ห์เมตตา วิหารพระพุทธองค์ดำที่เอาแบบมาจากที่เมืองนาลันทา ประเทศอินเดีย มีความเชื่อว่า ท่านช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ทุเลาลงและอาการดีขึ้นชะงักนัก และใกล้ท่าน้ำมีรถสามล้อถีบที่จอดหนึ่งคันมองเผินๆ ก็คงไม่มีอะไร แต่ชาวเมืองแปดริ้วตั้งใจเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เคยประทับรถสามล้อจ้างคันนี้ หลายส่วนได้รับการเปลี่ยนอะไหล่ไปแล้ว แต่สำหรับส่วนที่เป็นแผ่นเหล็กประดับพนักที่นั่ง (ที่ประทับ) และบริเวณตัวที่นั่งนั้น ยังเป็นของเดิมเมื่อครั้งพระองค์เสด็จ
คำบูชาพระพุทธไสยาสน์ วัดเทพนิมิตร
(ตั้งนะโม 3 จบ) อะหัง พุทธเสยยัง สิระสา นะมามิ (ข้าพเจ้าขอน้อมพระพุทธไสยาสน์ด้วยเศียรเกล้า)
คำบูชาพระพุทธเจ้าองค์ดำ วัดเทพนิมิตร
(ตั้งนะโม 3 จบ) อิติปิโส ภะคะวา กาฬะวัณณะ พุทธปฎิมัง อะระหัง สัมมาสัมพุธโธ วิชชาจาระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโล ปุริสะทัม สาระถิ สัตถาเทวะ มะนสสานัง พุทธธ ภะคะวาติ
วัดเทพนิมิตร ตั้งอยู่ที่ 495 ถนนศุภกิจ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เวลาทำการ 07.30 น. – 18.30 น.
3. วัดจีนประชาสโมสร
“วัดจีนประชาสโมสร” หรืออีกชื่อว่า “วัดเล่งฮกยี่” เป็นวัดที่ขยายหรือเป็นสาขาของวัดมังกรกมลาวาส (เล่งเน่ยยี่) ถนนเจริญกรุง ในกรุงเทพฯ เป็นวัดจีนในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน สร้างในปี พ.ศ. 2449 สมัยรัชกาลที่ 5 ความเป็นมาจากเอกสารอ้างอิงของวัดกล่าวว่า เป็นวัดจีนเพียงแห่งเดียวใน จ.ฉะเชิงเทรา สร้างโดยพระคณาจารย์จีนวังส์สมาธิวัตร (สกเห็ง) ปฐมเจ้าอาวาสแห่งวัดมังกรกมลาวาส หรือวัดเล่งเน่ยยี่ กรุงเทพฯ ท่านสกเห็งนั้นถือว่าเป็นปฐมบูรพาจารย์แห่งนิกายมหายานในประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับชื่อจีนของวัดคือ “เล่งฮกยี่” เป็นมงคลยิ่งนัก อันได้ความว่า คำว่า ฮก เป็นคำมงคลหมายถึงโชคลาภ วาสนา ความมั่งมีศรีสุข คำว่า เล่ง หมายถึงมังกร เมื่อรวม 2 คำ เล่งฮก จึงหมายถึงมังกรแห่งโชคลาภ หรือมังกรวาสนา เป็นวัดของเมืองแปดริ้วอีกแห่งหนึ่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์ควรไปกราบไหว้บูชา โดยเฉพาะชาวไทยจีนในฉะเชิงเทราและทั่วไทย มักมาเคารพบูชา ด้วยความเชื่อและนับถือให้มังกรเป็นเทพเจ้าของสัตว์ทุกประเภท แสดงถึงมีการมีอำนาจ พละกำลังมาก นอกจากนี้ ยังมีวัดอื่นๆอีก 2 ที่เป็นที่ตั้งของมังกร คือ วัดเล่งเน่ยยี่ ที่เยาวราช เป็นส่วนหัวมังกร วัดเล่งฮั้วยี่ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นส่วนหางมังกร
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์วัดแห่งนี้ถูกสร้างมขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จประพาสจังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา ในพิธีเปิดการเดินรถไฟสายตะวันออก กรุงเทพ – ฉะเชิงเทรา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ พร้อมทั้งพระราชทานทรัพย์เพื่อทำนุบำรุงวัดแห่งนี้ จำนวน 1 ชั่ง และพระราชทานชื่อไว้ว่า “วัดจีนประชาสโมสร” ในชื่อวัดไทย ความหมายว่า “เป็นที่ชุมนุมชาวจีน” ซึ่งป้ายชื่อวัดนั้นยังคงติดอยู่ที่วัดแห่งนี้เหมือนเดิมเพื่อความเป็นสิริมงคล
จะเห็นว่า วัดจีนประชาสโมสรแห่งนี้ เหมือนวัดจีนทั่วไปที่เป็นที่รวมสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลากหลายที่คนจีนและคนไทยนับถือไว้ในที่เดียวกัน เรียกว่ามาที่นี่ครบถ้วนกับการออมบุญจริงๆ
จุดไฮไลท์ที่น่าสนใจประจำวัด
ด้านหน้าของวัด มีรูปหล่อท้าวจัตุโลกบาลขนาดใหญ่ 4 องค์ ที่ซึ่งตามหลักความเชื่อของคนจีน จะเรียกว่า "เทพรักษาพุทธศาสนา" หรือ "เทพ 4 ทิศ" ซึ่งไม่เพียงคุ้มครองประเทศและพุทธศาสนาให้คงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ท่านยังคุ้มครองผู้มีศีลธรรม เป็นคนดี ให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานและชีวิตอีกด้วย
สำหรับที่วัดแห่งนี้ แอดมินต้องบอกว่า ไม่ใช่แค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนนิยมมาเคารพบูชา หากแต่บางสิ่งเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งที่มีที่เดียวในประเทศไทย ที่แอดมินประทับใจมากคือ พระพุทธรูปที่เป็นพระประธาน 3 องค์ ในอุโบสถ และพระอรหันต์ 18 องค์ ที่ปิดทองเหลืองอร่ามนั้น มองยังไงก็เหมือนสัมฤทธิ์ หากแต่ในความจริงคือ ทำจากกระดาษ หรือ ที่เราเรียกกันว่าศิลปะแบบเปเปอร์มาเช มีการสั่งทำและนำเข้ามาจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระประธาน 3 องค์ คือ พระอมิตพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนี และพระไภษัชคุรุพุทธเจ้า เดิมเคยจะประดิษฐานที่วัดเล่งเน่ยยี่ กรุงเทพฯ หากแต่วัดยังไม่เสร็จสมบรูณ์ จึงได้นำไปประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ จนทุกวันนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449
อีกด้านมี เจ้าแม่กวนอิม และมังกร ที่แกะสลักจากรากไม้ทั้งต้นอายุประมาณ 100 ปี มังกรนั้นดูงดงาม และน่าเกรงขาม เอ๊ะ...แล้วเราจะสักการะพญามังกรอย่างไร? แอดมินมีคำตอบครับ จะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกเรา โดยเริ่มจาก ลูบหัวมังกรลง 3 ครั้งแล้วอธิษฐานขอเกี่ยวกับสติปัญญา และหน้าที่การงาน ลูบลำตัวของมังกรขึ้นตามเกล็ดของมังกร 3 ครั้งแล้วอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกาย ลูบหางมังกรขึ้นตามเกร็ดของมังกร 3 ครั้ง แล้วอธิษฐานเกี่ยวกับอนาคต จากนั้นนำเงินใส่ปากมังกร ก็จะได้สิ่งที่หวัง แต่ห้ามจับหรือแตะต้องหนวดมังกรโดยเด็ดขาด เพราะคนจีนเชื่อว่ามังกรจะหมดอิทธิฤทธิ์และจะขออะไรไม่ได้ดังหวังผู้บูชาทำง่ายๆ
นอกจากนี้ยังมีเทวรูปจีน อ้วยโห้ แต่งกายชุดนักรบโบราณ แนะนำให้ขอโชคลาภ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พันหัตถ์ พันเนตร แสดงถึงการการทอดทัศนาทั่วโลกธาตุ มีอำนาจในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ เทพไฉ่เซ่งเอี้ย เทพแห่งโชคลาภ ความมั่งคั่ง เอี๊ยอ๊วง ไต่ ตี่สิ่ง ล้ง ราชาแห่งโอสถและเทพแห่งกสิกรรม หมอเทวดาฮั่วท้อ เซียนซือ บรมครูแห่งการแพทย์และเภสัชกรรมจีน ซึ่งช่วงโควิดมีคนไปขอพระเรื่องสุขภาพกันมาก
ถัดไปข้างในมี วิหารบูรพาจารย์ ซึ่งประดิษฐานพระสำเร็จหรือสังขารของอดีตท่านเจ้าอาวาสที่มรณภาพในท่านั่งวิปัสสนากรรมฐาน และไม่เน่าเปื่อย คนเชื่อกันว่าเมื่อมาสักการะบูชาแล้ว จะเกิดความสำเร็จในการงานและการเรียน รวมไปถึงพระสารีริกธาตุอีกหลายองค์ที่พระสงฆ์ฝ่ายทิเบตอัญเชิญมาไว้ที่วัด
และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ หลังออมบุญกันครบแต่ละจุดแล้ว (หากจะไหว้ให้ครบ ต้องไหว้ทั้งหมด 14 จุดด้วยกัน ทั้งพระ เทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์) แอดมินแนะนำให้ทุกท่านต้องมา ระฆังใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในวิหารด้านหน้าก่อนทางออกประตู ระฆังนี้หล่อจากแต้จิ๋ว ประเทศจีน น้ำหนักกว่า 1 ตัน รอบตัวระฆังจารึกอักษรคาถามหาปรัชญาปาริมาสูตรและบทสวดมนต์ การได้ตีระฆังก็เท่ากับได้สวดมนต์บทนี้ด้วยเช่นกัน
เห็นไหมครับที่นี่มาแล้วครบจบในที่เดียวจริงๆ นะครับ
วัดจีนประชาสโมสร ตั้งอยู่ที่ 291 ถนนศุภกิจ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จ.ฉะเชิงเทรา เวลาทำการ 08.00 น. – 17.00 น.
4. วัดโพรงอากาศ
วัดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนในอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดจากความศรัทธาของประชาชนในพื้นที่ ที่มีต่อพระอาจารย์สมชาย พุทธสโร พระที่ออกธุดงด์อยู่ในพื้นที่ จึงได้บริจาคที่ดินให้เพื่อสร้างเป็นวัดแห่งนี้ขึ้น ก่อนที่จะเลือกใช้ศิลปะไทยและอินเดีย เข้ามาผมผสานร่วมกัน จนได้อาคาร โบสถ์ ต่างๆที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
ไฮไลท์ที่น่าสนใจประจำวัด
พระอุโบสถมหาเจดีย์ สีทองอร่ามตั้งอยู่โดดเด่นกลางทุ่งนา ซึ่งเราจะมองเห็นได้แต่ไกล โดยมีลักษณะเป็นเจดีย์ 3 องค์ องค์กลางเป็นพระสถูปใหญ่ ด้านข้างเป็นพระสถูปบริวาร เจดีย์เป็นทรงของระฆังคว่ำ และยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดีย
บริเวณข้างๆ กันนั้นทางวัดยังมีจุดกราบไหว้ องค์พระพิฆเนศ องค์ใหญ่ ปางนั่งประทานพร เนื้อสีชมพู มีความสูง 49 เมตร ไม่รวมฐาน กว้าง 19 เมตร และรอบๆ ฐานมีพระพิฆเนศยังมีแสดงพระพิฆเนศ องค์จำลองอีก 32 ปาง ให้ผู้สนใจได้ร่วมเดินชมและขอพรที่ปรารถนา
วัดโพรงอากาศ ตั้งอยู่ที่ 43/2 หมู่ 9 ถนนบางน้ำเปรี่ยว – ฉะเชิงเทรา ตำบลโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เวลาทำการ 08.00 น. – 17.00 น.
5. วัดปากน้ำโจโล้
วัดที่เห็นเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล ด้วยเพราะมีพระอุโบสถสีทองอร่ามทั้งหลัง ทั้งด้านนอกและด้านใน เป็นแห่งเดียวในประเทศไทย และไม่ใช่แค่ความสวยงามที่เป็นจุดโฟกัสที่สำคัญ แต่วัดแห่งนี้ยังมีมุมที่เกี่ยวข้องกับประวัติ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชาติไทยมาอย่างช้านาน ตั้งแต่สมัยที่กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หรือ 200 ปีที่แล้วอีกด้วย หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายให้กับกองทัพพม่า พระเจ้าตากสินมีความประสงค์ที่จะกู้เอกราชกลับคืนมาอีกครั้ง จึงได้วางแผนมาตีกับกองทัพของพม่า ที่ตั้งค่ายอยู่บริเวณวัดแห่งนี้ มีกองกำลังทั้งบนบกและทางเรือ พระองค์ทรงคิดกลอุบายในการต่อสู้ จึงเลือกโล้เรือมาต่อสู้กับกองทัพพม่า ให้ข้าศึกตายใจว่ามาเพียงลำพัง ก่อนที่จะใช้อีกกองทัพที่ซุ่มตัวอยู่ เป็นฝ่ายช่วยโจมตี จนในที่สุดกลุ่มกองทัพของพระองค์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ จึงรับสั่งให้มีการสร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์สถานไว้ ชื่อว่า โจ้โล้ จนกลายมาเป็นชื่อเรียกประจำวัดแห่งนี้นี่เอง และที่บริเวณด้านข้างอุโบสถที่ไปทางท่าน้ำ มีการสร้างอนุสรณ์สถานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไว้เป็นที่เคารพสักการะของชาวฉะเชิงเทราและผู้ที่มาเยือนวัดปากน้ำโจ้โล้แห่งนี้ด้วย
ไฮไลท์ที่น่าสนใจประจำวัด
ส่วนภายในพระอุโบสถนอกจากจะเป็นที่เป็นที่ตั้งของพระประธานประจำวัดแล้ว ที่ใต้ฐานยังเปิดให้ประชาชนโดยทั่วไปเดินลอดผ่านได้ เป็นกิมมิคให้เล็กๆ ให้ผู้คนที่มาเยือนวัดนี้ได้ลอดฐานกันด้วย หากมีความตั้งใจจริง พร้อมกับตั้งจิตอธิฐานให้แน่วแน่ ก็จะช่วยให้คำอธิฐานมีโอกาสประสบความสำเร็จเป็นจริงมากขึ้น
ช่วงตอนเย็นๆ ที่บริเวณริมน้ำบางปะกง ด้านหลังวัดพระอุโบสถ ห้ามพลาดเลยหล่ะครับ เพราะมีวิว และบรรยากาศที่ดีมาก เหมาะในการเดินเล่นรับลมซึ่งเราสามารถเดินทอดน่องกันได้เรื่อยๆ เลยหล่ะครับ จะมุมตรงไหนก็ถ่ายรูปออกมาได้สวยงาม เริ่มตั้งแต่ด้านหน้าพระอุโบสถ จนถึง ริมน้ำบางปะกงที่อยู่ด้านหลังของวัด
วัดปากน้ำโจโล้ ตั้งอยู่ที่ ถนนวนะภูติ ตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เวลาทำการ 07.00 น. – 17.00 น.
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับทั้ง 5 วัดที่ทางทีม #GetawayHolidays ได้มาแนะนำกันไปในบทความนี้ ซึ่งก็มีทั้งวัดดังอย่าง วัดหลวงพ่อโสธร จนถึงวัดเก่าแก่แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่าง วัดเทพนิมิตร ซึ่งแต่ละสถานที่ก็มีความศักดิ์สิทธิ์และจุดไฮไลท์ ที่น่าสนใจ และได้รับความศรัทธาของคนในพื้นที่จนคงอยู่มาถึงทุกวันนี้
ใครที่กำลังจะเช็คลิสต์หาที่ไหว้พระออมบุญ ร่วมส่งโควิด หรือ ต้อนรับโชคชัยปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ในปี 2565 การไปเที่ยวฉะเชิงเทราแบบวันเดียวก็เดินทางง่ายสะดวกสบาย ปรับเข้ากับแผนการเดินทางของหลายท่านได้ดีนะครับ
แต่สำหรับท่านใดไม่อยากคิด ไม่สะดวกวางแผนเที่ยวเอง ก็ลองหารายการเที่ยวแบบวันเดียว หรือ เที่ยวหลายวันกับโปรแกรมที่มีให้เลือกจาก #GetawayHolidays ได้นะครับผม
ดูโปรแกรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ จากลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ 👇
อย่าลืมนะครับ! อย่างไรเสียเมื่อเราขอพรไหว้พระ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แล้ว เราต้องขยันเรียนหนังสือ ทำงานทำหน้าที่ ของเราให้ดี เป็นคนดีมีศีลธรรมควบคู่กันไปด้วยนะครับ จะได้ครบสูตรความสุขสวัสดีนะครับผม
มาถึงตรงนี้แล้ว แอดมินขอตัวไปก่อน แล้วครั้งหน้าแอดมินจะมีเกร็ด หรือ เรื่องเล่าสนุกๆ น่าสนใจ อะไรมาแนะนำ ของจังหวัดไหน ที่เที่ยวแบบไหน อย่าลืมติดตามกันนะครับ
Comments